โบปรับรูปหน้า
โบปรับรูปหน้า คือ
เริ่มแรกการฉีดโบใช้ในทางการแพทย์เพื่อรักษากลุ่มอาการผิดปกติของกล้ามเนื้อ เช่น กล้ามเนื้อกระตุก ต่อมีจึงได้เริ่มมีการสังเกตว่าผู้ป่วยที่ได้รับการรักษามีผิวที่ดี ริ้วรอยหายไป จึงเริ่มมีการถูกนำทาใช้ในด้านความงามสำหรับลดริ้วรอยระหว่างคิ้ว ริ้วรอยหน้าผาก และรอยตีนกา ซึ่งได้รับการรับรองโดย FDA ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2002
กลไกการออกฤทธิ์ของโบท็อกซ์จะไปยับยั้งการส่งสัญญาณประสาททำให้กล้ามเนื้อไม่สามารถหดตัวได้ ส่งผลให้ริ้วรอยตึงขึ้นเป็นผลมาจากกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดมีการขยับตัวลดลง อีกทั้งยังสามารถฉีดเพื่อลดขนาดของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่น กราม น่อง เป็นต้น
โบท็อกซ์เติมบริเวณไหนได้บ้างและแต่ละตำแหน่งใช้ปริมาณเท่าไหร่
| ตำแหน่ง | จำนวนยูนิตของโบท็อกซ์ที่ใช้ |
| หน้าผาก | 10-20 ยูนิต |
| ระหว่างคิ้ว | 10-20 ยูนิต |
| หางตา/ตีนกา/รอยย่นใต้ตา | 10-20 ยูนิต |
| ลดขนาดกล้ามเนื้อกราม | 50-100 ยูนิต |
| ลิฟท์กรอบหน้า | 40-80 ยูนิต |
| ลดรอยย่นบริเวณคางและยกมุมปาก | 10-20 ยูนิต |
| ลดรอยย่นที่คอ | 20-40 ยูนิต |
| ลดกล้ามเนื้อต้นแขนให้แขนเรียวเล็ก | 100-200 ยูนิต |
| ลดกล้ามเนื้อบ่าเพื่อให้ลำคอดูยาวสวย | 100 ยูนิต |
| ลดกล้ามเนื้อน่อง ให้ขาเรียวเล็ก | 150-200 ยูนิต |
ฉีดโบอันตรายหรือไม่ และใครบ้างที่ไม่ควรฉีดโบ
การใช้โบติดต่อกันเป็นเวลานานอาจทำให้ร่างกายเกิดการสร้างภูมิต้านทานต่อโบได้ จากสถิติของสหรัฐอเมริกาที่รวบรวมผู้ป่วยที่ได้รับการฉีด โบ จำนวนมาก พบว่าไม่มีอันตรายถึงชีวิต เมื่อใช้โดยผู้เชี่ยวชาญและใช้ฉีดเพื่อเสริมความงาม ผลข้างเคียงจากการฉีดที่อาจเกิดขึ้นได้แก่ อาการปวดศีรษะหรือความรู้สึกเจ็บๆคันๆ (พบประมาณ 2.5%) รอยช้ำจากการที่เข็มฉีดยาทำให้เกิดความบาดเจ็บต่อหลอดเลือด มักเกิดบริเวณหางตา อาการคิ้วหรือหนังตาตก (มีโอกาสเกิด 1-3%) อาการปวดบวมบริเวณที่ฉีด (2.5%) กล้ามเนื้ออ่อนแรงเฉพาะที่ (1.7%) ซึ่งผลข้างเคียงเหล่านี้มักเป็นเล็กน้อยหรือปานกลาง และมักหายไปเองใน 1-2 สัปดาห์
อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงจะลดลงมาก หากได้รับการรักษาจากแพทย์ผู้มีความรู้ความชำนาญ และผู้ป่วยจะต้องดูแลและปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัดระหว่างรับการรักษา
ผู้ที่ไม่ควรฉีดโบ
โบแต่ละยี่ห้อแตกต่างกันอย่างไร อยู่ได้นานเท่าไหร่ และแต่ละรุ่นราคาเท่าไหร่
1. มีความผิดปกติทางกล้ามเนื้อและระบบประสาท เพราะอาจมีอาการแย่ลง เช่น โรค Myasthenia gravis หรือ โรค Amyotrophic lateral sclerosis
2. กำลังตั้งครรภ์ / อยู่ในระหว่างให้นมบุตร แม้ไม่เคยมีรายงานถึงอันตรายที่เกิดขึ้นแก่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ แต่เนื่องจากไม่มีข้อมูลเพียงพอว่าปลอดภัยจึงควรหลีกเลี่ยงการรักษา
3. ผู้ที่มีประวัติแพ้โบท็อกซ์
อ้างอิง https://www.si.mahidol.ac.th/th/healthdetail.asp?aid=1022
การเตรียมตัวก่อนฉีดโบ
2. ควรจะหยุดทานอาหารเสริมประเภทวิตามินอี น้ำมันปลา โสม หรือสมุนไพรที่ทำให้ร่างกายร้อน ประมาณ 2-3 วันก่อนฉีด
3. ห้ามกินยาแก้อักเสบหรือแอสไพรินก่อนการฉีดยา 1 อาทิตย์
4. สตรีมีครรภ์ และให้นมบุตรไม่ควรฉีดเด็ดขาด
การดูแลตนเองหลังฉีดโบ
2. หลีกเลี่ยงไม่ให้บริเวณที่ฉีดโดนความร้อนเป็นเวลา 2 สัปดาห์ เช่น การอบซาวน่า การทำเลเซอร์ การทำไฮฟู่ การแช่ออนเซน การนวดหน้าด้วยเครื่อง RF เป็นต้น สามารถล้างหน้าหรืออาบน้ำอุ่นได้ สามารถใช้ไดร์เป่าผมได้
3. งดการนวดกดหรือนวดคลึงบริเวณที่ฉีดอย่างน้อย 48 ชั่วโมง
4. หลังฉีดโบท็อกซ์ได้ประมาณ 4 ชั่วโมง สามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ โดยจะมีรอยแดงจากเข็มและรอยนูนจากการฉีด ซึ่งจะหายไปเองภายในเวลา 1 – 2 ชั่วโมงหลังฉีด
5. กรณีฉีดโบท็อกบริเวณกราม หลังฉีดให้เคี้ยวหมากฝรั่ง 2 ข้างเท่า ๆ กัน โดยการสลับซ้ายขวา เป็นเวลา 30 นาที – 1 ชั่วโมง เพื่อให้ตัวยากระจายเข้ากล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดได้ดียิ่งขึ้น
6. งดดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 48 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการเกิดรอยฟกช้ำบริเวณที่ฉีด
7. งดออกกำลังกายหนักอย่างน้อย 48 ชั่วโมงหลังฉีด
8. กรณีฉีดโบท็อกซ์ลดริ้วรอย อาจขยับกล้ามเนื้อมัดที่ฉีดเป็นระยะหลังฉีด 1-2 ชั่วโมง เพื่อให้โบท็อกซ์ออกฤทธ์ครอบคลุมมัดกล้ามเนื้อนั้นๆ ได้ดีขึ้น
9. ควรสังเกตการแสดงสีหน้า การยิ้ม การยักคิ้ว หากมีอาการผิดปกติ เช่น ยิ้มฝืนไม่เป็นธรรมชาติ คิ้วสูงหรือต่ำเกินไป หนังตาตก ตาพร่ามัว ต้องแจ้งแพทย์ให้ทราบทันที
10. ในการฉีดโบท็อกซ์ควรเว้นการฉีดอย่างน้อย 3-4 เดือน เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายได้รับโบท็อกซ์บ่อยจนเกินไป ซึ่งอาจส่งผลต่อการดื้อโบท็อกซ์ได้ในอนาคต
คลิกเพื่อสอบถามโปรโมชั่นพิเศษ
รับโปรโมชั่นพิเศษ และปรึกษา สอบถามข้อมูล
คลิกเพื่อสอบถามโปรโมชั่นพิเศษ
รับโปรโมชั่นพิเศษ และปรึกษา สอบถามข้อมูล
คลิกเพื่อสอบถามโปรโมชั่นพิเศษ
รับโปรโมชั่นพิเศษ และปรึกษา สอบถามข้อมูล
